วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แนะนำตัวค่ะ

สิ่งที่ชอบๆๆนะจ๊ะ

อาหารที่ชอบ พะแนงไก่+ส้มตำ+ไก่ย่าง
เพลงที่ชอบ ทุกแนว
ถามถึงเวลาว่าง มักจะท่องโลก Internet จร้า
                        ดูทีวี ฟังเพลง และก็ทำ อาหาร
การ์ตูนสุดโปรด โดเรมอนจร้า

         




แนะนำตัวค่ะ

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แนะนำตัวค่ะ

แนะนำตัวค่ะ

แนะนำตัวค่ะ

ยินดีต้อนรักสู่ Blog ฟ้าใสค่ะ

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

5 รูปแบบประเภทของเว็บไซต์ E-Commerce

5 รูปแบบประเภทของเว็บไซต์ E-Commerce


     รูปแบบของการทำเว็บไซต์ E-Commerce มีหลายประเภททั้งนี้และทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับความต้องการและรูปแบบในการทำของแต่ละเว็บว่าจะมีรูปแบบเป็นอย่างไร ซึ่งแต่ละแบบก็มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งลองมาดูกันว่า คุณจะเลือกรูปแบบการทำ E-Commerce รูปแบบไหน ที่จะเหมาะสมกับคุณและธุรกิจของคุณมากที่สุด

1. การประกาศซื้อ-ขาย (E-Classified)

เป็นรูปแบบเว็บไซต์ E-Commerce ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจประกาศความต้องการ ซื้อ-ขาย สินค้าของตนได้ภายในเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์จะทำหน้าที่เหมือนกระดานข่าวและตัวกลางในการแสดงข้อมูลสินค้าต่างๆ และหากมีคนสนใจสินค้าที่ประกาศไว้ ก็สามารถติดต่อตรงไปยังผู้ประกาศได้ทันทีจากข้อมูลที่ประกาศอยู่ภายในเว็บไซต์ โดยส่วนใหญ่จะมีการแบ่งหมวดหมู่ของประเภทสินค้าเอาไว้ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าไปเลือกซื้อ-ขายสินค้าในเว็บไซต์ เช่น www.ThaiSecondhand.com การซื้อขายรูปแบบนี้ ผู้ขายไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ของตัวเองเลย แค่อาศัยพื้นที่ของเว็บที่เปิดโอกาสให้ประกาศขายของ ก็สามารถเริ่มต้นการค้าขายได้แล้ว ข้อดีเริ่มต้นได้ง่ายทันที ฟรี ข้อเสียคือไม่เหมาะกับผู้ที่มีสินค้าเป็นจำนวนมากๆ


2. เว็บไซต์แคตตาล็อกสินค้าออนไลน์ (Online Catalog Web Site)
         เป็นรูปแบบจัดทำเว็บไซต์ E-Commerce ในรูปแบบแคตตาล็อกออนไลน์ ที่มีรูปภาพและรายละเอียด สินค้าพร้อมที่อยู่เบอร์โทรติดต่อ ไม่มีระบบการชำระเงินผ่านทางเว็บไซต์ หรือระบบช้อปปิ้งการ์ด (ตะกร้าสินค้าออนไลน์) โดยหากผู้สนใจสินค้าก็เพียงโทรสอบถามและสั่งซื้อสินค้าได้ ซึ่งเป็นการใช้เว็บไซต์เป็นเหมือนโบรชัวร์หรือแคตตาล็อกออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกดูรายละเอียดสินค้าและราคาได้ จากทั่วประเทศหรือทั่วโลกผ่านทางเว็บไซต์ ข้อดีของเว็บแบบนี้คือ สร้างได้ง่ายเหมาะกับการค้าในพื้นที่หรือประเทศเดียวกัน ข้อเสียคือ ไม่สามารถขายและรับเงินได้ทันทีจากลูกค้า ที่ต้องการชำระเงินผ่านเว็บไซต์
ซึ่งโดยส่วนใหญ่กว่า 70% ของเว็บไซต์ E-Commerce ในประเทศไทยจะเป็นเว็บไซต์ในลักษณะนี้ เพราะด้วย รูปแบบเว็บไซต์สามารถจัดทำได้ง่าย ไม่มีความซับซ้อนมากนัก ทำให้สามารถเริ่มต้นทำได้ง่าย เช่น http://www.platinumpda.com/


       3. ร้านค้าออนไลน์ (E-Shop Web Site)

           เป็นรูปแบบเว็บไซต์ E-Commerce สมบูรณ์แบบ ที่มีทั้งระบบการจัดการสินค้า ระบบตะกร้าสินค้า (Shopping Cart) ระบบการชำระเงิน รวมถึงการขนส่งสินค้า ครบสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ซื้อสามารถสั่งซื้อสินค้าและทำการชำระเงินผ่านเว็บไซต์ได้ทันที โดยการชำระเงินส่วนใหญ่สามารถชำระเงินผ่าน บัตรเครดิต เป็นส่วนมาก
ในการจัดทำเว็บไซต์ลักษณะนี้ จะต้องมีระบบหลายๆ อย่างประกอบอยู่ภายใน ทำให้มีความซับซ้อนและมีรายละเอียดในการจัดทำค่อนข้างมาก แต่ตอนนี้ก็มีเว็บไซต์ E-Commerce สำเร็จรูป ที่พร้อมใช้บริการและมีทุกอย่างพร้อมสรรพ ทำให้สามารถเริ่มต้นทำเว็บลักษณะนี้ได้อย่างรวดเร็ว หากท่านสนใจ ร้านค้าออนไลน์ สามารถสมัครใช้บริการฟรี ได้ที่ http://www.taradquickwe.com/


4.การประมูลสินค้า (Auction)

       เป็นเว็บไซต์ E-Commerce ที่มีรูปแบบของการนำสินค้าของไปประมูลขายกัน โดยจะเป็นการแข่งขันใน การเสนอราคาสินค้า หากผู้ใดเสนอราคาสินค้าได้สูงสุดในช่วงเวลาที่กำหนด ก็จะชนะการประมูลและสามารถซื้อสินค้าชิ้นนั้นไปได้ ด้วยราคาที่ได้กำหนดไว้ โดยส่วนใหญ่สินค้าที่นำมาประมูล หากเป็นสินค้าใหม่ ซึ่งหลังการประมูลสินค้าจะมีราคาที่ไม่สูงกว่าราคาท้องตลาด ยกเว้นสินค้าเก่า บางประเภท หากยิ่งเก่ามากยิ่งมีราคาสูง เช่น ของเก่า ของสะสม เป็นต้น เช่น http://auction.tarad.com, http://www.ebay.com/

5.ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Marketplace)
     เป็นเว็บไซต์ E-Commerce ที่มีรูปแบบเป็นตลาดนัดขนาดใหญ่ โดยภายในเว็บไซต์จะมีการรวบรวมเว็บไซต์ของร้านค้าและบริษัทต่างๆ มากมาย โดยมีการแบ่งหมวดหมู่ของสินค้าเอาไว้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าไป ดูสินค้าภายในร้านค้าต่างๆ ภายในตลาดได้อย่างง่ายดายและสะดวก โดยรูปแบบของตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ บางแห่งมีการแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ตามลักษณะของสินค้าที่มีอยู่ภายในตลาดแห่งนั้น เช่น ตลาดสินค้าทั่วไป www.TARAD.com เว็บไซต์ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับอาหาร www.FoodMarketExchange.com เว็บไซต์ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ของสินค้า OTOP อย่าง www.thaitambon.com เป็นต้น


        ดังนั้นจะเห็นว่า รูปแบบของ E-Commerce มีอยู่ 5 รูปแบบ ดังนั้นการเริ่มต้นและการนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ และการค้าขายของคุณ ก็ควรเลือกรูปแบบที่มีความเหมาะสม และอาจจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปก็ได้ หรือจะผสมผสานทำหลายๆ อย่างพร้อมกันในครั้งเดียวกันก็ได้เช่น มีเว็บไซต์ ร้านค้าออนไลน์ (E-Shop Web Site) และไปใช้บริการ การประกาศซื้อ-ขาย (E-Classified) หรือ การประมูลสินค้า (Auction) เป็นช่องทางเสริมในการทำให้ คนรู้จักเว็บไซต์ของเรามากขึ้นก็ได้เช่นกัน...


แหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.pawoot.com/node/327
http://thaiall.com/article/ecommerce.htm
http://thaiall.com/article/ecommerce.htm#link







E-Commerce (การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์)

E-Commerce (การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์)



Electronic Commerce หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริหาร การโฆษณาสินค้า การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น


จุดเด่นของ E-Commerce คือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่ม ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยลดความสำคัญขององค์ประกอบของธุรกิจที่มองเห็นจับต้องได้ เช่นอาคารที่ทำการ ห้องจัดแสดงสินค้า (show room) คลังสินค้า พนักงานขายและพนักงานให้บริการต้อนรับลูกค้า เป็นต้น ดังนั้นข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์คือ ระยะทางและเวลาทำการแตกต่างกัน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจอีกต่อไป


อุปกรณ์และวิธีการทำ E-commerce
         อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วย ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์และระบบฐานข้อมูล ระบบสื่อสารอาจเป็นระบบพื้นฐานทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิทยุ โทรทัศน์ แต่ระบบอินเทอร์เน็ตซึ่งเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก เป็นระบบเปิดกว้าง โดยเป็นระบบเครือข่ายของเครือข่าย ที่เรียกว่า world wide web มาจากความเป็นเอกลักษณ์คือสามารถสร้างให้มี hyperlink จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง ไป webpage อื่น หรือไป website อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถสื่อได้ทั้งภาพ เสียง และภาษาหนังสือที่หลากหลายซับซ้อน สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ทันทีทันใด ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สามารถบันทึกเก็บไว้หรือนำใช้ต่อเนื่องได้ การประยุกต์ใช้ และกระแสตอบรับธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตจึงแพร่หลายภายในระยะเวลาอันสั้น

    E-Commerce ใช้ติดต่อกับลูกค้าได้หลายระดับ ธุรกิจกับลูกค้า ธุรกิจกับธุรกิจ ธุรกิจกับภาครัฐ ฯ สาระของการติดต่อจะมี 4-5 ประการ คือ

- การขาย รวมการโฆษณา แสดงสินค้า เสนอราคา สั่งซื้อ คำนวณราคา
- การชำระเงิน การตกลงวิธีชำระเงิน สั่งโอนเงิน ให้ข้อมูลบัญชีธนาคารที่ใช้ตัดบัญชี ตลอดจนเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ
- การขนส่ง แจ้งวิธีการส่งมอบของ ค่าขนส่ง และสถานที่ติดต่อและระบบติดตามสินค้าที่ส่ง
- บริการหลังการขาย การติดต่อภายในบริษัท เช่นระบบบัญชี คลังสินค้า ระบบสั่งซื้อสินค้าและวัตถุดิบ สั่งผลิต ตลอดจนบริการลูกค้าหลังการขาย

บทบาทภาครัฐกับ E-Commerce

          เนื่องจากการทำธุรกิจดังกล่าวมีการแข่งขันกันร้อนแรง ส่วนใหญ่อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นไปได้ที่คู่ค้าอาจไม่เคยรู้จักติดต่อกันมาก่อน ปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาครัฐได้แก่ แผนกลยุทธ์การค้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพื่อมิให้เสียเปรียบเชิงการค้าในระดับโลก โครงสร้างการสื่อสารที่ดีและเพียงพอ กฎหมายรองรับข้อมูลและหลักฐานการค้าที่ไม่อยู่ในรูปเอกสาร ระบบความปลอดภัยข้อมูลบนเครือข่ายและระบบการชำระเงิน
E-Government เป็นอีกมิติหนึ่งของการให้บริการภาครัฐออนไลน์ที่จะเอื้อให้ธุรกิจ ประชาชน ติดต่อใช้บริการ ในกรอบบริการงานแต่ละด้านของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยให้บริการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์แก่สถาบันการเงิน กรมทะเบียนการค้าให้บริการจดทะเบียนการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ การทำ E-Procurement เพื่อการจัดซื้อจัดหาภาครัฐก็เป็นบริการที่ควรดำเนินการ เพราะจะช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเป็นไปตามกรอบนโยบายของที่ประชุมเอเปคด้วย
ความปลอดภัยกับ E-Commerce

     ระบบความปลอดภัยนับเป็นเรื่องที่โดดเด่นที่สุด และมีเทคโนโลยีความปลอดภัยคือ Public Key ซึ่งมีองค์กรรับรองความถูกต้องเรียกว่า CA (Certification Authority) ระบบนี้ใช้หลักคณิตศาสตร์คำนวณรหัสคุมข้อความจากผู้ส่งและผู้รับอย่างเฉพาะเจาะจงได้ จึงสามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้รับผู้ส่ง (Authentication) รักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Confidentiality) ความถูกต้องไม่คลาดเคลื่อนของข้อมูล (Integrity) และผู้ส่งปฏิเสธความเป็นเจ้าของข้อมูลไม่ได้ (Non-repudiation) เรียกว่าลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature)
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการมีกฎหมายรองรับการทำธุรกรรมบนเครือข่าย ประเทศในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายรองรับการทำธุรกิจดังกล่าว สำหรับในประเทศไทยก็เร่งจัดการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 6 ฉบับ โดยกฎหมาย 2 ฉบับแรกที่จะออกใช้ได้ก่อนคือ กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์


การชำระเงินบน E-Commerce
จากผลการวิจัยพบว่า วิธีการชำระเงินที่สำคัญสำหรับกรณีธุรกิจกับธุรกิจ ร้อยละ 70 ใช้วิธีหักบัญชีธนาคาร ขณะที่ ธุรกิจกับผู้บริโภคร้อยละ 65 ชำระด้วยบัตรเครดิต


        สำหรับในประเทศไทย ผลการสำรวจพบว่าผู้สั่งสินค้าบนอินเทอร์เน็ตร้อยละ 40-60 ใช้บัตรเครดิต อีกร้อยละ 40 ใช้วิธีโอนเงินในบัญชี ซึ่งหมายความรวมถึง Direct Debit, Debit Card และ Fund Transfer เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบการชำระเงินบนอินเทอร์เน็ต มีแนวทางการพัฒนาเพื่อบริการชำระเงินดังนี้

1. บริการ internet banking และ/หรือธุรกิจประเภท Payment Gateway จะเป็น hyperlink ระหว่าง website ของร้านค้ากับระบบของธนาคาร และธนาคารสามารถดำเนินการตามข้อมูลที่ได้รับเพื่อตัดโอนเงินในบัญชีของลูกค้า หรือส่งเป็นคำสั่งโอนเข้าระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
2. สำหรับการชำระเงินที่เป็น Micro Payment การใช้เงินดิจิทัลซึ่งบันทึกบนบัตรสมาร์ตการ์ด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถสร้างเสริมระบบความปลอดภัยให้มั่นใจได้เหนือกว่าระบบบัตรเดบิตและบัตรเครดิตทั่วไป จึงเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะสม

แหล่งที่มาของข้อมูล

http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?q=E-Commerce+%28%A1%D2%C3%BE%D2%B3%D4%AA%C2%EC%CD%D4%E0%C5%E7%A1%B7%C3%CD%B9%D4%A1%CA%EC%29&select=1#5262
http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.ecommerce.or.th/newsletter/img/survey-june1.GIF&imgrefurl=http://www.ecommerce.or.th/newsletter/june2000.html&usg=__xEROacu5jul5LkURtLOa4wJZZM=&h=300&w=294&sz=6&hl=th&start=12&sig2=cdO0qX6ohEFN0lmj5Q0SQ&um=1&itbs=1&tbnid=jxYkP2mvNCH3pM:&tbnh=116&tbnw=114&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2593%25E0%25B9%258C%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%2BE-commerce%26hl%3Dth%26rlz%3D1R2MOOI_enTH363%26sa%3DN%26um%3D1&ei=fT9hS_OVAtCLkAX3yomnDA
http://images.google.co.th/images?hl=th&rlz=1R2MOOI_enTH363&um=1&sa=1&q=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%99+E-Commerce&btnG=%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2&aq=null&oq=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E+E-Commerce&start=0

ความรู้เบื้องต้น E-Commerce

ความรู้เบื้องต้น E-Commerce 

          e-Business นั้น คือ การดำเนินกิจกรรมทาง “ธุรกิจ”ต่างๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจ มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของคู่ค้า และลูกค้าให้ตรงใจ และรวดเร็วและเพื่อลดต้นทุน และขยายโอกาสทางการค้า และการบริการ เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลจะมีคำศัพท์ที่ได้ยินบ่อยๆ อาทิ


BI=Business Intelligence:

การรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านตลาด ข้อมูลลูกค้า และ คู่แข่งขัน
EC=E-Commerce:
เทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เกิดการสั่งซื้อ การขาย การโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต
CRM=Customer Relationship Management:
การบริหารจัดการ การบริการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจกับทั้งสินค้า บริการ และ บริษัท – ระบบ CRM จะใช้ไอทีช่วยดำเนินงาน และ จัดเตรียมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริการลูกค้า
SCM=Supply Chain Management:
การประสาน ห่วงโซ่ทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จัดส่ง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึงมือผู้บริโภค
ERP=Enterprise Resource Planning:
กระบวนการของสำนักงานส่วนหลัง และ การผลิต เช่น การรับใบสั่งซื้อการจัดซื้อ การจัดการใบส่งของ การจัดสินค้าคงคลัง แผนและการจัดการการผลิต– ระบบ ERP จะช่วยให้ประบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน
       E-Commerce มีชื่อที่แปลเป็นภาษาไทยว่า “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” โดยความหมายของคำว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีผู้ให้คำนิยามไว้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีคำจำกัดความใดที่ใช้เป็นคำอธิบายไว้อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีดังนี้

“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2542)”
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (WTO, 1998)
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กรและส่วนบุคคล บนพื้นฐานของ การประมวลและการส่งข้อมูลดิจิทัลที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ” (OECD, 1997)
จากความหมายของ e-business กับ e-commerce จะเห็นได้ว่าสองคำนี้มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน แต่อันที่จริงแล้วมีความหมายต่างกัน
โดย e-business สรุปความหมายได้ว่าคือการทำกิจกรรมทุกๆอย่าง ทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตกว้างกว่า แต่ e-commerce จะเน้นที่การซื้อขายสินค้าและบริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนตเท่านั้น
จึงสรุปได้ว่า e-commerce เป็นส่วนหนึ่งของ e-business

ประเภทของ E-Commerce


          ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer - B2C)
คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลงเป็นต้น
         ผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) คือการค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกอบการ ในที่นี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง การขายส่ง การทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Management) เป็นต้น ซึ่งจะมีความซับซ้อนในระดับต่างๆกันไป
          ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer to Consumer - C2C) คือการติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น มีหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ เช่นเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง ขายของมือสองเป็นต้น
          ผู้ประกอบการ กับ ภาครัฐ (Business to Government – B2G)
คือการประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ที่ใช้กันมากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า e-Government Procurement ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว รัฐบาลจะทำการซื้อ/จัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เช่นการประกาศจัดจ้างของภาครัฐในเว็บไซต์ www.mahadthai.com
          ภาครัฐ กับ ประชาชน (Government to Consumer -G2C)
ในที่นี้คงไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า แต่จะเป็นเรื่องการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้บริการแล้วหลายหน่วยงาน เช่นการคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต, การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เช่นข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย


แหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.thaiecommerce.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=538636758&Ntype=6

วันครู

วันครู 16 มกราคม

งานวันครู 16 มกราคาม 2553

ความหมาย ของคำว่าครู

ความหมาย ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน; ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ

ประวัติความเป็นมา
            วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง” จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้

ดอกไม้ที่ใช้ในการไหว้ครู
ในพิธีไหว้ครูนับตั้งแต่สมัยก่อน จะใช้ดอกไม้หลัก 3 อย่างในการทำพาน ซึ่งดอกไม้ ความหมายในการระลึกคุณครู ได้แก่
 
หญ้าแพรก สื่อถึง ขอให้เรียนได้เร็วเหมือนหญ้าแพรก ที่โตได้เร็วและทนต่อสภาพดินฟ้า อากาศ ทนต่อการเหยียบย่ำ ซึ่งเปรียบเสมือน คำดุด่าของครูบาอาจารย์

ดอกเข็ม สื่อถึง ขอให้มีสติปัญญาเฉียบแหลม เหมือนชื่อของดอกเข็ม

 
ดอกมะเขือ สื่อถึง การเปรียบเทียบว่า มะเขือนั้น จะคว่ำดอกลงเสมอเมื่อจะออกลูก แสดงถึง นักเรียนที่จะเรียนให้ได้ผลดีนั้นต้องรู้จักอ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นคนสุภาพเรียบร้อย เหมือนมะเขือที่โน้มลง
ข้าวตอก เนื่องจากข้าวตอกเกิดจากข้าวเปลือกที่คั่วด้วยไฟอ่อนๆ ให้ร้อนเสมอกันจนถึงจุดหนึ่งที่เนื้อข้างในขยายออก จนดันเปลือกให้แยกออกจากกัน ได้ข้าวสีขาวที่ขยายเม็ดออกบาน ซึ่งสามารถนำไปประกอบพิธีกรรม หรือทำขนมต่างๆได้ ดังนั้น ข้าวตอกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย หากใครสามารถทำตามกฎระเบียบ เอาชนะความซุกซนและความเกียจคร้านของตัวเองได้ ก็จะเหมือนข้าวตอกสีขาวที่ถูกคั่วออกจากข้าวเปลือก


วิธีจัดงาน

การพิธีไหว้ครู ตามแบบที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ จะต้องเตรียมสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้


สถานที่
โต๊ะหมู่บูชา โดยตั้งไว้ที่สูงบนเวทีชิดด้านหลัง ข้างหน้ามีกระถางดอกไม้และธูปเทียน และ โต๊ะ เพื่อว่างพานดอกไม้และธูปเทียนที่นำมาบูชา
หนังสือ เพื่อให้ประธานเจิม โดยเอาหนังสือวางไว้บนพาน บนโต๊ะเล็กหน้าที่บูชา
ที่นั่งประธาน และ คณาจารย์ จัดไว้ข้างๆ ที่บูชา
ที่นั่งสำหรับนั่งเรียน


สิ่งที่ต้องเตรียมในการไหว้ครู
พานดอกไม้ ประกอบด้วยพืชชนิดต่าง ๆ เช่น หญ้าแพรก (หมายถึง การเจริญงอกงามของสติปัญญา) ดอกมะเขือ (หมายถึง การอ่อนน้อมถ่อมตน) ดอกเข็ม (หมายถึง เฉลียวฉลาด) จะใส่เท่าไรก็ตามให้สวยงาม พอควร ธูปเทียน


พิธีการ
- เมื่อประธานมาถึง ให้กราบทำความเคารพ จนกว่าคุณครูทุกท่านจะผ่านไปหมดทุกคน
-ให้ประธานจุดธูปเทียน นมัสการพระพุทธรูปที่แท่นหมู่บูชา
- เริ่มพิธีโดยการสวดมนต์ ตามด้วยเจิมหนังสือเพื่อความเป็นสิริมงคล
-หลังจากนั้นกล่าวคาถาไหว้ครู และวรรคแรกของคำไหว้ครู
-เมื่อกล่าวคำไหว้ครูเสร็จแล้ว ให้ว่าคาถาไหว้ครูตอนท้าย
-ตัวแทนนักเรียนกล่าวคำปฏิญาณตน
-ให้ตัวแทนของแต่ละห้องนำพานไปให้คุณครูแต่ละท่าน

การจัดงานวันครู

          การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรม ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครู จะมีกิจกรรม ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้


1. กิจกรรมทางศาสนา
2. พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น
ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่งประเทศ สำหรับในส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้

รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์ หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครูอาวุโสนอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงประคุณบูรพาจารย์

มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู
1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น
3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตน ให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้
4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ
7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน
8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและของสถานศึกษา

10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน

คำปฏิญาณตนของครู
ข้อ 1. ข้าจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู
ข้อ 2. ข้อจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
ข้อ 3. ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็น


บทสวดเคารพครูอาจารย์
คาถา ปาเจราจริยา โหนฺติ คุณุตฺตรานุสาสกา (วสันตดิลกฉันท์)
(สวดนำ) ปาเจราจริยา โหนติ
(รับพร้อมกัน) คุณุตฺตรานุสาสกา
ข้าขอประนมกระพุ่ม อภิวาทนาการ
กราบคุณอดุลคุรุประทาน หิตเทิดทวีสรร
สิ่งสมอุดมคติประพฤติ นรยึดประครองธรรม์
ครูชี้วิถีทุษอนันต์ อนุสาสน์ประภาษสอน
ให้เรืองและเปรื่องปริวิชาน นะตระการสถาพร
ท่านแจ้งแสดงนิติบวร ดนุยลยุบลสาร
โอบเอื้อและเจือคุณวิจิตร ทะนุศิษย์นิรันดร์กาล
ไปเปื่อก็เพื่อดรุณชาญ ลุฉลาดประสาทสรรพ์
บาปบุญก็สุนทรแถลง ธุระแจงประจักษ์ครัน
เพื่อศิษย์สฤษฎ์คตจรัล มนเทิดผดุงธรรม
ปวงข้าประดานิกรศิษ (ษ) ยะคิดระลึกคำ
ด้วยสัตย์สะพัดกมลนำ อนุสรณ์เผดียงคุณ
โปรดอวยพรสุพิธพรอเนก อดิเรกเพราะแรงบุญ
ส่งเสริมเฉลิมพหุลสุน- ทรศิษย์เสมอเทอญฯ
ปญญาวุฑฺฒิกเร เต เต ทินฺโนวาเท นมามิหํ



ครูสร้างคน สร้างชาติ ด้วยศาสน์ศิลป์ ทั่วแผ่นดิน ศรัทธาบูชาครู


         และเนื่องในโอกาสวันครู วันที่ ๑๖ มกราคม ได้เวียนมาบรรจบ นายประหยัด ยะคะนอง ปลัดจังหวัดเพชรบุรี นายครองศักดิ์ แย้มประยูร ประธานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี พร้อมเหล่าบรรดาครูจาก วิทยาลัยเทคนิคเพชรบุรี , วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรี , วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี , วิทยาลัยการอาชีพบ้านลาด , วิทยาลัยการอาชีพเขาย้อย และวิทยาลัยสารพัดช่างเพชรบุรี จำนวน ๔๕๐ คน ที่จัดการศึกษาสายอาชีพในระดับ ปวช. , ปวส. และหลักสูตรระยะสั้นหลากหลาย ได้รวมตัวกัน ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษา เพื่อร่วมน้อมรำลึกถึงพระคุณของครู – อาจารย์ทั้งที่ล่วงลับไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่ที่ได้อบรมสั่งสอน ถ่ายทอดความรู้ในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาษา การทำมาหากิน ขนบธรรมเนียมประเพณี ให้กับคนรุ่นหลังเสมือนเป็นพ่อแม่คนที่สอง ที่ได้ประสิทธิ์ ประสาทวิชา จนสามารถประกอบอาชีพและสานต่อเจตนารมณ์
ศิษย์น้อมรำลึกพระคุณครู


 

         แต่เดิมไทยเราเริ่มมีพิธีไหว้ครูทางช่าง นาฏศิลป์ ดนตรี ศิลปะวิทยาการต่างๆมาก่อน โดยผู้จะมาศึกษาเล่าเรียนจะนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาครู เป็นการฝากตัวเป็นศิษย์เป็นครูต่อกัน อีกทั้งยังเป็นสิริมงคลต่อศิษย์ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมไทยที่งดงาม และถือปฏิบัติสืบต่อมา โดยถือเอาวันพฤหัสบดีสัปดาห์ที่สองในเดือนมิถุนายน ของทุกปี เป็นวันไหว้ครูซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 10 มิถุนายน บรรดานักเรียนต่างก็นำหญ้าแพรก ข้าวตอก ดอกมะเขือ ดอกเข็มและอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความหมายมาประดิษฐ์ตกแต่ง แล้วนำไปมอบให้ครู อาจารย์ ในพิธีไหว้ครูที่ทางสถานศึกษาได้จัดขึ้น อาทิ โรงเรียนพรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี ที่นักเรียนต่างร่วมใจประดิษฐ์พานดอกไม้ธูปเทียน และนำไม้ประดับต่างๆที่มีความหมายมามอบให้ครู ซึ่งภายหลังจากจบพิธีไหว้ครูแล้วจะได้นำต้นไม้ดังกล่าวไปปลูกไว้ในบริเวณโรงเรียน เพื่อสร้างความสวยงาม เช่นเดียวกับที่โรงเรียนปริยัติรังสรรค์ ที่ได้ให้โอกาสนักเรียนกว่า 3,000 คน ได้กราบไหว้หลวงพ่อพระศรีพัชราจารย์ หลวงพ่อบุตร ผู้ก่อตั้งโรงเรียนขึ้นมาเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต สำหรับงานวันครูนั้นจัดขึ้นเพื่อให้ปวงศิษย์ได้น้อมรำลึกถึงพระคุณของครูอาจารย์ที่สั่งสอนอบรม ให้มีความรู้ในด้านต่างๆตลอดจนสอนให้ยึดมั่นอยู่ในคุณงามความดีมีศีลธรรม

แหล่งที่มาของข้อมูล

http://th.wikipedia.org/wiki/พิธีไหว้ครู
http://www.yupparaj.ac.th/special/meaning/meaning.htm
http://www.ssrw.ac.th/loei3/loei3_1/
http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/810/11810/images/logopostcard.gif&imgrefurl=http://www.oknation.net/blog/naiman/2010/01/11/entry2&usg=__QIj4JPhf3YmtXDL_pewPSjACbkU=&h=373&w=520&sz=97&hl=th&start=16&sig2=G_prhIYTttOff5nvIMZVeA&um=1&itbs=1&tbnid=8lAebPl96e_9rM:&tbnh=94&tbnw=131&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B9%2B2553%26hl%3Dth%26rlz%3D1R2MOOI_enTH363%26sa%3DN%26um%3D1&ei=UzBhS4HNOsyHkAXgq4i1DA



ข้อมูลสถานที่ที่จัดงาน happy new year 2010

สถานที่ที่จัดงาน happy new year 2010 ของจังหวัดกรุงเทพมหานคร
สถานที่เคาต์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่..ปี 2010
สถานที่จัดงาน : บริเวณลานน้ำพุ ด้านนอกของคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ถนนรางน้ำ กรุงเทพมหานคร
    โชว์แสง สี เสียง 3 มิติ ในคอนเซปต์ The Enchanted Voyage of the World ที่โดดเด่นด้วยเทคนิค interactive ครั้งแรกของเมืองไทย ไฮไลท์เด่นของการแสดงชุดนี้อยู่ที่การพาผู้ชมโลดแล่นไปสู่โลกแห่งจินตนาการ เดินทางท่องไปยังสถานที่ต่างๆ ตามเส้นทางธรรมชาติอันเลื่องชื่อในทั่วทุกมุมโลก มากกว่า 20 เส้นทาง

กิจกรรมนับถอยหลัง ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2553 ย่านราชประสงค์ @Central World
ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2552 - 1 มกราคม 2553 ในเขตกรุงเทพมหานคร
                         

“ ขอพรช้างเอราวัณ สุขสันต์ COUNTDOWN 2010 ”
                                    

       ขอพรช้างเอราวัณ สุขสันต์ Countdown 2010

วันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป
สถานที่จัดงาน : พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ จ.สมุทรปราการ
ชมการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง, ลิเกพื้นบ้าน, การแสดงมายากล, chill out กับดนตรีในสวนบรรยากาศ Winter Love Song, เลือกซื้อสินค้ามากมายบนถนนคนเดิน, ดูงานศิลปะฝีมืออาร์ตติส เมืองปากน้ำ พิเศษสุด… หางบัตรชิงของรางวัลและเงินสดรวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท

        แอ่วเหนือ-ขึ้นอีสาน-ล่องใต้ ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่แบบอินเทรนด์

เทศกาลปีใหม่นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ที่หลายๆ ครอบครัวเฝ้ารอเพื่อจะข้ามคืนสุดท้ายของปีเก่า เข้าสู่ศักราชใหม่ไปอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน และคงจะดีไม่น้อย หากได้เปลี่ยนบรรยากาศไป countdown ในสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ ร่วมกับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิท พร้อมทั้งสูดอากาศเย็นสดชื่นให้ฉ่ำปอด ผ่อนคลายสายตาจากความเหนื่อยล้ามาตลอดปีกับธรรมชาติเขียวขจีและบริสุทธิ์ ท่ามกลางขุนเขาในภาคเหนือ - อีสาน หรือจะเยือนถิ่นตะวันออก - ล่องแดนใต้ หลบความวุ่นวายไปติดเกาะ แหวกว่ายทักทายฝูงปลา-ปะการัง และพักผ่อนบนชายหาดสวยงามอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ก็ถือว่าเป็นไอเดียเคาท์ดาวน์ที่เก๋ไก๋ไปอีกแบบ โอกาสนี้ เราขอแนะนำแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติฮอตฮิตทั่วไทย ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปฉลองปีใหม่กันมากที่สุด 10 อันดับค่ะ
1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เชียงใหม่

2. ปาย แม่ฮ่องสอน
3. ภูชี้ฟ้า เชียงราย
4. ผาแต้ม อุบลราชธานี

5. มอหินขาว ชัยภูมิ (1 ในแคมเปญ 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน)


6. เขาใหญ่ นครราชสีมา

7. หมู่เกาะช้าง เกาะกูด ตราด


8. เกาะทะลุ ประจวบคีรีขันธ์

9. เกาะสมุย เกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี
10. หมู่เกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดัง-ราวี สตูล

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมนับถอยหลัง ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2553 ในอีกหลายจังหวัดทั่วไทย อาทิเช่น



งานส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่สู่เชียงใหม่ 2010 จังหวัดเชียงใหม่

วันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552 - 1 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : ถนนท่าแพตลอดสายและบริเวณช่วงประตูท่าแพ และ Think Park สี่แยกรินคำ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

งานส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ นครราชสีมา

วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552 - 3 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : อำเภอปากช่อง และอำเภอวังน้ำเขียว นครราชสีมา

Korat Countdown 2010

วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552 - 2 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา


งานรับตะวันใหม่ ก่อนใครในสยาม และ อุบลราชธานี เคาท์ดาวน์ 2010
วันจัดงาน : 1 ธันวาคม 2552 - 31 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : บริเวณเวทีกลาง ด้านหน้าศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี

งานเทศกาลปีใหม่เมืองพัทยา (Pattaya Countdown 2010)

วันจัดงาน : 25 - 31 ธันวาคม 2552
สถานที่จัดงาน : ท่าเทียบเรือท่องเที่ยว(แหลมบาลีฮาย) พัทยาใต้เมืองพัทยา จ.ชลบุรี


งานส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่เมืองหัวหิน
วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552 - 3 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : ศูนย์การค้าหัวหินมาร์เก็ตวิลเล็จ ประจวบคีรีขันธ์


งานสีสันความสุขปีใหม่ภูเก็ต 2553 (Colorful Phuket Countdown 2010)
วันจัดงาน : 25 - 31 ธันวาคม 2552 เวลา 18.30 - 24.00 น.
สถานที่จัดงาน : วงเวียนสุรินทร์ (หอนาฬิกา) ภูเก็ต


Night Paradise Hatyai Countdown 2010
วันจัดงาน : 29 - 31 ธันวาคม 2552
สถานที่จัดงาน : ใจกลางเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา
ฟังดนตรี และ Countdown to New Year @ บูติก ราฟท์ ริเวอร์แคว รีสอร์ท

วันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552
สถานที่จัดงาน : Boutique Raft Riverkwai อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี


งานมหกรรมอาหาร และงานต้อนรับปีใหม่ จังหวัดพิษณุโลก
วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552- 1 มกราคม 2553
สถานที่จัดงาน : บริเวณสวนชมน่านเฉลิมพระเกียรติ อ.เมือง จ.พิษณุโลก
แถมอีกหน่อยมีที่หรู ๆ สำหรับคู่รักที่ไม่อยากไปไกลในกทม.มาฝากค่ะ
คนแแห่จองคิวเคาต์ดาวน์ปีใหม่บนชั้น 55 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์วิวที่ดีที่สุดติดอันดับท็อปทรี พร้อมมองเห็นทิวทัศน์ตึกกลางเมืองแบบ 360 องศา...



           อีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่แล้ว ปีนี้มีวันหยุดติดต่อกันถึง 4 วันเต็ม...เย้ๆๆ!! ถ้าใครยังไม่มีแผนไปเที่ยวพักผ่อนตามต่างจังหวัด หรือเดินทางไปเมืองนอก อยากชวนมาร่วมเคาต์ดาวน์ นับถอยหลังส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ในบรรยากาศแปลกใหม่บนตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองกรุงเพื่อเนรมิตค่ำคืนสุดท้ายของปีให้เป็นความทรงจำอันสุดแสนประทับใจ




         มีคิวจองแน่นเอี้ยดตั้งแต่ยังไม่พลิกปฏิทินเข้าสู่เดือนธันวาคม เพราะโดดเด่นเรื่องบรรยากาศ สุดโรแมนติก และทัศนียภาพแบบซุปเปอร์พาโนรามา มองเห็นทิวทัศน์ของตึกระฟ้าทั่วใจกลางเมืองแบบ 360 องศา คงต้องยกให้ เรดสกาย (Red Sky) เรสเตอรองต์ แอนด์ ไวน์บาร์ สุดไฮคลาส บนชั้น 55 ของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ที่นี่ไม่เพียงแต่จะได้รับการยกย่องให้เป็นร้านอาหารที่สูงที่สุด และวิวดีที่สุด ติดอันดับท็อปทรีของเมืองไทย ยังกินขาดในเรื่องความพิถีพิถันของการให้บริการ เหมาะเจาะอย่างยิ่งสำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่นี้ ทั้งได้ดินเนอร์มื้อหรูกับอาหารอร่อยสไตล์ตะวันตก เคล้าเสียง เปียโนจากนักร้องเพลงแจ๊สระดับคุณภาพ



            เรสเตอรองต์แห่งนี้ยังมีบริการมาร์ตินี่ที่คิดค้นสูตรอย่างดีคอยเสิร์ฟให้ได้ดริงก์ตลอดค่ำคืน บริเวณมาร์ตินี่บาร์ ส่วนคอไวน์สามารถเลือกสรรไวน์ชั้นเลิศกว่า 200 แบรนด์จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งนำมาเรียงรายในไวน์เซลล่า แนวดิ่งสูงถึง 9 เมตร โดยมีนางฟ้าแสนสวยคอยโหนตัวขึ้นลงหยิบไวน์ขวดหรู มาปรนนิบัติตามออร์เดอร์ เพื่อเติมเต็มความพิเศษให้อาหารมื้อสำคัญยิ่งสเปเชียลขึ้น ภายในแบ่งพื้นที่เป็น 2 โซนหลักๆคือ พื้นที่อินดอร์ รองรับได้ 81 ที่นั่ง และเอาต์ดอร์ 149 ที่นั่ง เตรียมเฉลิมฉลองอย่างประทับใจ พร้อมร่วมเคาต์ดาวน์ปีใหม่ กับมื้อค่ำสุดพิเศษ 6 คอร์ส อาทิ ฟัวร์กราอบเสิร์ฟพร้อมเทอรีนแอปเปิ้ลผสมเครื่อง เทศ, ลอปสเตอร์ย่าง, ปลาค็อตอบสไตล์ฝรั่งเศส และเนื้อวากิวย่าง ในราคาเพียง 1,555++บาทต่อท่าน และรับแชมเปญฟรีหนึ่งแก้ว สำรองที่นั่งได้ที่โทร. 0-2100-6255



        ไม่ใกล้ไม่ไกลกันยังเป็นแหล่งสังสรรค์สุดฮิป ของคนอินเทรนด์ทุกเพศทุกวัย แค่ขึ้นลิฟต์เซนเวิลด์ ทาวเวอร์ ห้างฯเซน ไปที่ชั้น 17 จะได้ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศสุดคูลของเรสเตอรองต์ แอนด์ บาร์ แห่งใหม่ ZENSE เปิดให้บริการอาหารนานาชาติ ทั้งไทย อิตาลี ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย พร้อมไวน์และค็อกเทลชั้นเลิศ โดยมีทัศนียภาพของตึกระฟ้าใจกลางกรุงเป็นจุดขายสำคัญ ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "Destiny" ฝีมือออกแบบของ "อมตะ หลูไพบูลย์" สถาปนิกแถวหน้าของเมืองไทย ได้แรงบันดาลใจจากธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดย ZENSE เป็นตัวแทนของธาตุดิน จึงใช้ไม้เป็นวัสดุหลักในการตกแต่งให้อา-รมณ์โก้หรู และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร


         สำหรับเทศกาลปีใหม่นี้ ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.2552 ถึง 1 ม.ค.2553 มีกิจกรรมปาร์ตี้ เพื่อให้ได้ เคาต์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่า ภายใต้คอนเซปต์ "ZENSY New Year 2010 Cele-bration Events" เตรียมสนุกอย่างเต็มพิกัดกับเมนูเฉลิมฉลอง ที่จัดเตรียมไว้เฉพาะค่ำคืนพิเศษ โดยมีศิลปินนักร้องและดีเจชื่อดังคอยสร้างสีสันตลอดค่ำคืน ไม่น่าพลาดชมลีลาสแครชแผ่นของดีเจแนวชิลเอาต์แดนซ์ ระดับโลก "โฆเซ่ ปาดิญา" จากเกาะอิบิซ่า ประเทศสเปน สอบถามเพิ่ม เติมโทร 0-2100-9898




  


แหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.sumantana.kroobannok.com/25491
http://thailandexhibition.com/Event-76/Event-76-Detail.php?id=121
ไทยรัฐออนไลน์
เดลินิวส์
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยtrekkingthai.com
http://pirun.ku.ac.th/~b5101104/place.html
http://www.holidaythai.com/songchai/photo-2817.htm
http://khunnamob.hostignition.com/backup/nonlaw/nonlaw.7forum.net/forum-f7/topic-t309-30.htm









วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ

      การแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ เป็นศิลปะการรำ และการละเล่น ที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า “ฟ้อน” มีลักษณะการแสดงลีลาท่ารำที่แช่มช้า อ่อนช้อย นุ่มนวล และสวยงาม แต่การแสดงบางชุดได้รับอิทธิพลจากศิลปะของพม่า เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนมาลัย ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ฟ้อนไต ฟ้อนกิงกะหร่า ฟ้อนโต ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง ฟ้อนบายศรี ตีกลองสะบัดชัย ฟ้อนสาวไหม ฟ้อนโยคีถวายไฟ การแต่งกายแบบพื้นบ้านภาคเหนือ ดนตรีที่ใช้คือ วงดนตรีพื้นบ้าน เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่ วงกลองแอว

การละเล่นพื้นเมืองภาคเหนือ
     ในภาคเหนือ ภูมิประเทศเป็นป่าเขา ต้นน้ำลำธาร อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ การทำมาหากินสะดวกสบาย ชาวเหนือจึงมีนิสัยอ่อนโยน ยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจไมตรี การแสดงพื้นเมืองจึงมีลีลาอ่อนช้อย งดงามและอ่อนหวาน
การแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ เรียกกันว่า ฟ้อน มีผู้แสดงเป็นชุดเป็นหมู่ ร่ายรำท่าเหมือนกัน แต่งกายเหมือนกัน มีการแปรแถวแปรขบวนต่าง ๆ
ลักษณะของการแสดงพื้นเมือง ได้แก่
ลีลาการเคลื่อนไหว เป็นไปตามเอกลักษณ์ของแต่ละภาค
เครื่องแต่งกาย เป็นลักษณะพื้นเมืองของภาคนั้น ๆ
เครื่องดนตรี เป็นของท้องถิ่น ได้แก่ ปี่แน กลองตะโล้ดโป๊ด ฉาบใหญ่ ฆ้องโหม่ง ฆ้องหุ่ย
เพลงบรรเลงและเพลงร้อง เป็นทำนองและสำเนียงท้อง

ที่มา:http://show-organize.com/index.php?type=content&c_id=4174&ct_id=79096

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ศิลปวัฒนธรรมภาคเหนือ

อาหารภาคเหนือ

ภาคเหนือ เป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ครั้งในอดีตเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ ที่มีศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ที่แตกต่างไปจากภาคอื่น ๆ และการที่คนเหนือมีเชื้อสายไทยใหญ่ หน้าตา ผิวพรรณ จึงต่างไปจากคนภาคอื่น ๆ ประกอบกับความอ่อนหวาน ซื่อ บริสุทธิ์ ทำให้คนเหนือมีเอกลักษณ์ที่เด่นชัดของตนเอง นอกจากนี้ การมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ทำให้เกิดธรรมชาติที่สวยงาม มีความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ และยังเป็นที่อยู่ของคนไทยภูเขา หลายเผ่าพันธุ์ ภาคเหนือจึงยังเป็นที่รวมของวัฒนธรรมที่หลากหลาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี ที่งดงามเหล่านี้ได้สืบทอดกันมานานแสนนาน ภาคเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นคล้ายต่างประเทศไม้เมืองหนาวต่าง ๆ พันธุ์ ถูกนำมาทดลองปลูก และได้กลายเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้แก่ เกษตรกรภาคเหนือเป็นอันมาก แต่ถึงจะสามารถปลูกพืช ผัก เมืองหนาวได้แต่อาหารดั้งเดิมของภาคเหนือ ก็ยังใช้ผักตามป่าเขา และผักที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มาใช้ในการปรุงอาหารเป็นส่วนใหญ่ การรับประทานอาหารของคนภาคเหนือนั้น จะใช้โก๊ะข้าว หรือที่เรียกว่าขันโตก แทนโต๊ะข้าว โดยสมาชิกในบ้านจะนั่งล้อมวงเพื่อรับประทานอาหารกัน โก๊ะข้าว หรือขันโตก จะทำด้วยไม้รูปทรงกลม มีขาสูงพอที่จะนั่งร่วมวง และหยิบอาหารได้สะดวก ชาวบ้านภาคเหนือจะจัดอาหารใส่ถ้วยแล้ววางบนโก๊ะข้าว หรือบางบ้านอาจใช้ใส่กระด้งแทน การเก็บอาหารทีเหลือ เพื่อให้พ้นมด แมลง ที่จะมาไต่ตอม ก็จะใส่กระบุง แล้วผูกเชือก แขวนไว้ในครัว เมื่อต้องการจะรับประทานก็ชักเชือกลงมา ในครัว ทั่ว ๆ ไป จะมีราวไม้แขวน หอม กระเทียม
          คนภาคเหนือจะรับประทานข้าวเหนียวกันเป็นอาหารหลัก ส่วนกับข้าวก็หาเอาตามท้องทุ่ง และลำน้ำ ทั้งกบ เขียด อึ่งอ่าง ปู ปลา หอย แมงยูน จีกุ่ง (จิ้งหรีดชนิดหนึ่ง) ไก่ หมู และเนื้อ อาหารภาคเหนือไม่นิยมใส่น้ำตาล ความหวานจะได้จากส่วนผสมที่นำมาทำอาหาร เช่น ความหวานจากผัก จากปลา จากมะเขือส้ม เป็นต้น การทำอาหารก็มักจะให้สุกมาก ๆ เช่นผัดก็จะผัดจนผักนุ่ม ผักต้มก็ต้มจนนุ่ม อาหารส่วนใหญ่จะใช้ผัดกับน้ำมัน แม้แต่ตำขนุน(ยำขนุน) เมื่อตำเสร็จก็ต้อง นำมาผัดอีกจึงจะรับประทาน ในปัจจุบันนี้ เนื้อสัตว์ที่นิยมนำมาทำอาหารจะเป็น หมู ไก่ เนื้อ และปลาตามลำดับ ปลาที่ใช้ในปัจจุบันมีทั้งปลาเลี้ยง และปลาที่จับ จากแม่น้ำลำคลอง

ที่มา: http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/tech03/28/food/index6.htm